โรคไข้เลือดออก การป้องกันและการรักษาอย่างเข้าใจ

โรคไข้เลือดออก: การป้องกันและการรักษาอย่างเข้าใจ

ทำความรู้จัก “ไข้เลือดออก”

โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้มากในช่วงฤดูฝนของประเทศไทย โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนถึงกันยายน เด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องให้ความระมัดระวัง

อาการของโรคไข้เลือดออก

ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะมีอาการที่หลากหลาย โดยอาจไม่สามารถแยกจากไข้หวัดทั่วไปได้ในช่วงแรก อาการที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:

  • ไข้สูงเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส นาน 2-7 วัน

  • ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา

  • ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือปวดท้อง

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

  • อาจมีผื่นแดง จุดเลือดออกตามผิวหนัง

  • ในรายที่รุนแรง อาจเกิดภาวะ “ไข้เลือดออกชนิดช็อก” (Dengue Shock Syndrome) ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้

การวินิจฉัยและการรักษา

โรคไข้เลือดออกไม่มี “ยารักษาเฉพาะทาง” แพทย์จึงให้การรักษาแบบประคับประคอง และเน้นการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ดังนี้:

  1. การให้สารน้ำอย่างเหมาะสม
    เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำหรือช็อกจากการรั่วของพลาสมา

  2. การลดไข้โดยหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน
    ใช้ยาพาราเซตามอลแทน เพราะแอสไพรินอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก

  3. การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
    โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 3–7 ซึ่งเป็นช่วงเสี่ยงต่อภาวะรุนแรง

การป้องกัน: หยุดยั้งตั้งแต่ต้นทาง

การควบคุมยุงลายคือหัวใจของการป้องกันไข้เลือดออก โดยมีแนวทางที่สำคัญ ได้แก่:

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
    เช่น ปิดฝาภาชนะน้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำแจกันทุกสัปดาห์ และใส่ทรายอะเบทในแหล่งน้ำขัง

  • ป้องกันการถูกยุงกัด
    ด้วยการทายากันยุง ใส่เสื้อแขนยาว ใช้มุ้ง และติดตาข่ายกันยุง

  • รณรงค์ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค”
    ได้แก่ เก็บบ้านให้สะอาด เก็บขยะให้เรียบร้อย และเก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันทั้งไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

แหล่งที่มา :

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ