โรคฉี่หนู โรคเงียบที่ไม่ควรมองข้ามในฤดูฝน

โรคฉี่หนู (Leptospirosis) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่ม Leptospira ซึ่งสามารถพบได้ในปัสสาวะของสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะ “หนู” ที่ถือเป็นพาหะสำคัญ เชื้อโรคนี้สามารถอยู่ในน้ำหรือดินได้นานหลายสัปดาห์ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น ในช่วงฤดูฝน น้ำท่วม หรือน้ำขัง

แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่หากวินิจฉัยล่าช้าหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สาเหตุและการติดต่อ

โรคฉี่หนูสามารถติดต่อสู่คนได้จากการสัมผัสกับน้ำ ดิน โคลน หรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนปัสสาวะของสัตว์พาหะ โดยเฉพาะหากมีแผลถลอก รอยขีดข่วน หรือผิวหนังที่อักเสบ เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา หรือเยื่อบุในช่องปากและจมูกได้โดยตรง

กิจกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่

  • เดินลุยน้ำในพื้นที่น้ำท่วม

  • เก็บกวาดหลังน้ำลดโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน

  • ทำการเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ชื้นแฉะ

  • ดื่มน้ำที่ไม่สะอาดหรือไม่ผ่านการต้มสุก

อาการของโรคฉี่หนู

อาการของโรคอาจคล้ายไข้หวัดใหญ่ในช่วงแรก และมักถูกมองข้าม โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้สูง หนาวสั่น

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง

  • ตาแดง คลื่นไส้ อาเจียน

  • ปัสสาวะน้อย

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง ในรายที่มีภาวะตับอักเสบ

หากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจลุกลามจนเกิดภาวะไตวาย ตับวาย ปอดอักเสบ หรือเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโรคจากการซักประวัติการสัมผัสพื้นที่เสี่ยง ร่วมกับการตรวจร่างกายและการตรวจเลือดเฉพาะทางเพื่อหาเชื้อ หากสงสัยว่าเป็นโรคฉี่หนู ควรเริ่มการรักษาโดยเร็วแม้ยังไม่ยืนยันผลจากห้องแล็บ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

การรักษา

การรักษาโรคฉี่หนูสามารถทำได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณายาที่เหมาะสม เช่น

  • Doxycycline

  • Penicillin

  • หรือ Ceftriaxone ในรายที่อาการรุนแรง

ผู้ป่วยที่มีอาการหนักอาจต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล พร้อมการดูแลแบบประคับประคอง เช่น ให้สารน้ำทางหลอดเลือด เฝ้าระวังการทำงานของไตและตับ หรือใส่ท่อช่วยหายใจหากมีภาวะปอดอักเสบรุนแรง

การป้องกัน

โรคฉี่หนูสามารถป้องกันได้ง่ายด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมและการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือน้ำท่วม:

  1. หลีกเลี่ยงการลุยน้ำหรือเดินย่ำโคลน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ตและถุงมือยาง

  2. หากมีบาดแผล ควรปิดแผลให้มิดชิดก่อนสัมผัสน้ำหรือดิน

  3. ล้างมือและเท้าให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งสกปรก

  4. ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มสุก

  5. จัดเก็บอาหารในภาชนะปิดมิดชิด ป้องกันหนูแทะ

  6. หากมีความเสี่ยงสูง เช่น เจ้าหน้าที่กู้ภัย เกษตรกร หรือคนงานในพื้นที่น้ำขัง ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานยาป้องกันล่วงหน้า

แหล่งที่มา :

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ