placeholder-1200x630

ปอดอักเสบ คุณพ่อคุณแม่รู้เท่าทัน ลูกน้อยปลอดภัย

เมื่อลูกน้อยเจ็บป่วยคราใด ใจพ่อแม่ก็เจียนขาด  ภาวนาให้ตัวเองเจ็บแทนเสียยังจะดีกว่าไหม ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เท่าทันและดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยจากโรคร้ายได้ก็คงจะดี…โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบหรือปอดบวมยิ่งรู้เร็วก็สามารถรักษาได้เร็ว

“ปอดอักเสบ” หรืออีกคำที่รู้จักกันดีคือ “ปอดบวม” เป็นการอักเสบของเนื้อปอด รวมทั้งหลอดลมและถุงลม ทำให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจลดลง เกิดความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนก๊าซในถุงลม ในเด็กบางคนอาการอาจรุนแรงจนพิการและเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กเล็กหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น  โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น

ที่มาของปอดอักเสบ

โดยปกติแล้วโรคปอดอักเสบนั้นพบได้กับคนทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสูงอายุ แต่สำหรับในเด็กนั้นนับได้ว่าเป็นโรคร้ายลำดับต้นๆ ตามสถิติแล้วปอดอักเสบจัดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี นั่นเป็นเพราะเมื่อเด็กมีไข้หวัดจะเกิดอาการแทรกซ้อนลามไปถึงปอด จนถึงขั้นปอดอักเสบได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากทางเดินหายใจที่เล็กและแคบ ทำให้กำจัดเสมหะได้ไม่ดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชนิดของเชื้อที่ได้รับ ภูมิต้านทาน รวมทั้งการดูแลเบื้องต้น ล้วนมีผลต่อการเกิดโรคปอดอักเสบทั้งสิ้น

สาเหตุเกิดจากอะไร?

โรคปอดอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 สาเหตุหลัก คือปอดอักเสบจากการติดเชื้อ และปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น การแพ้หรือการระคายเคืองจากสารที่สูดดมเข้าไป การสำลักอาหาร เป็นต้น

ในส่วนของปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อนั้นเป็นสาเหตุหลักของปอดอักเสบในเด็ก โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ส่วนเชื้อราและพยาธิพบได้น้อย เชื้อไวรัสที่พบบ่อย เช่น เชื้อ respiratory syncytial virus (RSV), ไข้หวัดใหญ่ (Influenza), Human metapneumovirus, Parainfluenza  ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ เช่น Streptococcus Pneumoniae มากที่สุด เชื้อแบคทีเรียทีอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ เชื้อ Haemophilus Influenza Type B (HIB), เชื้อ Staphylococcus aureus หรือ Mycoplasma Pneumonia, Chlamydia Pneumonia

อาการเป็นอย่างไร?

อาการที่พบคือจะมีไข้ ไอ มีเสมหะ หายใจเร็ว หรือหอบ กรณีมีอาการมากจะหายใจลำบาก หรือมีภาวะระบบการหายใจล้มเหลวร่วมด้วย ซึ่งการแสดงอาการแต่ละแบบนั้นขึ้นอยู่กับอายุและเชื้อที่ได้รับเป็นสำคัญ นอกจากนี้อาจมีอาการ ท้องอืด อาเจียน ซึม ไม่ดูดนม ร้องกวนกว่าปกติร่วมด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้พบบ่อยในเด็กเล็ก ส่วนเด็กโตนั้นอาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเพิ่มขึ้นมา

เด็กกลุ่มใดเสี่ยงภัยปอดอักเสบ

เด็กที่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ทารกคลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีโรคเรื้อรัง เช่น  โรคหัวใจ โรคปอด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เด็กที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด หรืออยู่ในสถานรับเลื้ยงเด็กที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมทั้งเด็กที่ได้รับควันบุหรี่มือสองจากบุคคลรอบข้าง

การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบ

เบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย การเอ็กซเรย์ปอด รวมทั้งอาจจะใช้วิธีการการตรวจหาเชื้อก่อโรค ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะเชื้อจากเสมหะ การตรวจแอนติเจนเพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อในเสมหะหรือโพรงจมูก ตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีของร่างกายต่อเชื้อ

แนวทางการรักษา

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ อายุผู้ป่วย และความรุนแรงของโรค โดยแบ่งการรักษาเป็น 2 ส่วนคือ

การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง

ให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ในรายที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส จะไม่มียารักษาจำเพาะ ยกเว้น ไข้หวัดใหญ่ที่มียาต้านเชื้อไวรัส ส่วนไวรัสชนิดอื่นๆ จะให้การรักษาตามอาการ

การรักษาแบบประคับประคอง

  • แนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรง มีภาวะขาดน้ำ แพทย์พิจารณาให้สารน้ำทางเส้นเลือด
  • ให้ออกซิเจนในรายที่มีหายใจเหนื่อย เขียว อกบุ๋ม การซับกระซ่าย ซึม หากกรณีที่มีระบบการหายใจล้มเหลวอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย
  • ให้ยาขยายหลอดลม ในรายที่มีภาวะหลอดลมตีบ
  • การกายภาพบำบัดปอดเพื่อให้ขับเสมหะได้สะดวกและไม่อุดตัน
  • รักษาภาวะอื่นๆ ตามอาการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ห่างไกล “ปอดอักเสบ”

ควรดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรงอยู่เสมอ ให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และอย่าลืมปลูกฝังสุขอนามัยที่ดี เช่น การล้างมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเป็นหวัด แยกของใช้กับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการรับเชื้อ หรือการอยู่ในสถานที่แออัด

นอกจากนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กๆ ไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนที่ป้องกันเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ อาทิ วัคซีนป้องการเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Influenza Type B (Hib vaccine), วัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus Pneumoniae (Invasive Pneumococcal Disease vaccine; IPD vaccine), โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza  vaccine )

หากเมื่อลูกมีอาการป่วยใดๆ ต้องรีบพามาพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที

“อย่าละเลยกับอาการเจ็บป่วยของลูกน้อย เพราะการเพิกเฉยไม่เอาใจใส่ อาจนำไปสู่โรคร้ายที่คุณคาดไม่ถึงได้เช่นกัน”

 

แหล่งที่มา :

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
พญ.ภคินี  จียโชค
กุมารแพทย์ด้านโรคทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ศูนย์สุขภาพเด็ก รพ.พญาไท 3

รายงานฉบับนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ได้รวบรวมจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือในเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์ต้องการเผยแพร่เพื่อประโยชน์ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่ได้เจตนาแนะนำข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรค ตลอดจนไม่ใช่เพื่อการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จึงไม่ขอรับรองความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นปัจจุบัน ของข้อมูลเกี่ยวกับยา โรค สาเหตุ อาการ วิธีการดูแลรักษา นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ บางส่วนยังไม่มีการรับรองผลของการใช้งาน รวมทั้งไม่มีหลักฐานรับรองที่สมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้น ผู้ใช้ข้อมูล ควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลหรือปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพิ่มเติม หากมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ทางศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้ หรือการอ้างอิงข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ และศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ดัดแปลงรายงานฉบับนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เมื่อลูกน้อย..ไม่ยอมนอน

เด็กทารกบางคนกลางคืนตื่นมาเล่นไม่ยอมนอน แต่พอกลางวันกลับหลับยาว มักเกิดในเด็กเล็ก แรกเกิดถึงอายุ 1-2 เดือน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็คือสมองที่ควบคุมการนอนของเด็กเล็กยังไม่ค่อยพัฒนา

อ่านต่อ »

รู้ทัน ป้องกัน โรคมือเท้าปาก

โรคมือเท้าปาก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก ทำให้มีอาการไข้ เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว จัดเป็นโรคที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่น้อย

อ่านต่อ »

มะเร็งเต้านม

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข ก็ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า “ในผู้หญิงที่มีอายุ 40-69 ปีและไม่มีอาการผิดปกติ ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ด้รับการอบรมทุกปี และควรตรวจด้วยเครื่อง mammogram ทุก 1-2 ปี

อ่านต่อ »